วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ยาแก้ไอ มีกี่ชนิด แล้วใช้อย่างไร ?

อาการไอเป็นกลไกการตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในระบบทางเดินหายใจ การไอจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่ในบางครั้งโรคหรือยาบางอย่างกลับมีผลทำให้เกิดอาการไอมากเกินกว่าปกติ ซึ่งอาจเพียงทำให้เกิดความรำคาญหากไอไม่รุนแรงและหายได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าไออย่างรุนแรงและยาวนานอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บของระบบทางเดินหายใจ และอาจส่งผลถึงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ต้องใช้ในการไอด้วย ซึ่งวิธีการรักษาอาการไอที่ดีที่สุดคือ การกำจัดที่สาเหตุของอาการไอ เช่น การเลิกสูบบุหรี่ การหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เป็นต้น
          หากกล่าวถึงยาที่ทำให้เกิดอาการไอ ยาสองกลุ่มสำคัญที่ควรรู้จัก ได้แก่
          ยาลดความดันโลหิต กลุ่มเอซีอีอินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitors) ซึ่งใช้เป็นยารักษาโรคหัวใจวายและใช้ป้องกันความเสื่อมของไตในผู้ป่วยเบาหวานอีกด้วย ยากลุ่มนี้มักทำให้เกิดอาการไอแห้งๆ ในผู้ป่วยร้อยละ 20 ซึ่งโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องดูแลรักษาหากไอไม่มากและผู้ป่วยทนได้ แต่หากไอมากจนทนไม่ได้อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้ยากลุ่มอื่นทดแทน ผู้ป่วยที่ใช้ยาแล้วมีอาการไอไม่ควรหยุดยาเอง เนื่องจากยามีความสำคัญต่อการควบคุมความรุนแรงของโรคที่ทำการรักษาอยู่ ควรแจ้งแพทย์เพื่อทำการปรับเปลี่ยนยาที่เหมาะสมต่อไป
          ยารักษาโรคกระดูกพรุน กลุ่มบิสฟอสโฟเนต (Bisphosphonates) ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว ยา กลุ่มนี้ไม่ได้มีผลทำให้เกิดอาการไอถ้าใช้ยาอย่างถูกต้อง โดยรับประทานก่อนอาหารมื้อเช้าครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง (ขึ้นกับชนิดของตัวยา) หลังรับประทานยาห้ามเอนตัวลงนอนหรือทำกิจกรรมใดๆ ที่อาจจะทำให้เกิดการไหลย้อนของยาเข้าสู่หลอดอาหาร เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลระคายเคืองหลอดอาหารโดยตรง หากไม่ปฏิบัติตามวิธีข้างต้นอาจทำให้หลอดอาหารโดนทำลาย เกิดอาการแสบหน้าอก ไออย่างรุนแรงและไอเป็นเลือดได้
          จะเห็นว่าการรักษาอาการไอที่เกิดจากตัวอย่างยาทั้งสองกลุ่มนี้ ทำได้โดยหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไอด้วยการหยุดยาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเมื่อจะต้องใช้ยา แตกต่างจากอาการไอที่เกิดจากอาการแพ้หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจจำเป็นต้องได้รับยาแก้แพ้หรือยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย เพื่อช่วยให้หายจากอาหารไอได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น แต่บางครั้งก็อาจมีความจำเป็นต้องใช้ยาแก้ไอด้วยเช่นกัน ซึ่งการจะเลือกชนิดและประเภทของยาแก้ไอได้อย่างถูกต้องนั้น จำเป็นแบ่งประเภทของอาการไอให้ได้ในเบื้องต้น ว่าเป็นอาการไอแบบมีเสมหะหรืออาการไอแห้ง เนื่องจากหากใช้ยาไม่ถูกกับประเภทของอาการไอ นอกจากยาจะช่วยบรรเทาอาการไอไม่ได้แล้ว อาจทำให้อาการไอรุนแรงมากขึ้นก็ได้
          ยาแก้ไอสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ด้วยกัน ได้แก่
          ยาแก้ไอสำหรับอาการไอแบบมีเสมหะ ซึ่งอาจแบ่งย่อยออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ 1) ยาขับเสมหะ (Expectorants) ที่ออกฤทธิ์โดยทำให้ร่างกายสร้างสารน้ำออกมาหล่อเลี้ยงทางเดินหายใจมากขึ้น และ 2) ยาละลายเสมหะ (Mucolytics) ที่ออกฤทธิ์ต่อเสมหะโดยตรงและทำให้เสมหะข้นเหนียวน้อยลง ซึ่งยาทั้งสองกลุ่มจะช่วยให้ผู้ป่วยไอและขับเสมหะออกมาได้ง่ายขึ้น มักใช้ในอาการไอที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น หวัด คออักเสบ หลอดลมอักเสบ โดยช่วงแรกของการรับประทานยาผู้ป่วยอาจไอถี่ขึ้น แต่จะลดลงเมื่อผู้ป่วยไอและขับเสมหะออกมาได้แล้ว ตัวยาแก้ไอหลายชนิดผสมอยู่กับยาขยายหลอดลม ซึ่งอาจมีผลทำให้ใจสั่นได้หากใช้ยามากเกินไป ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ได้แก่
ยาแก้ไอสำหรับอาการไอแบบมีเสมหะตัวอย่างชื่อการค้า
ยาขับเสมหะGuaifenesin (Glyceryl guaiacolate)Bronchonyl, Glycolate, Qualiton, Robitussin, Royalin, Salmol Expectorant, Tolbin Expectorant
ยาละลายเสมหะ
BromhexineBisolvon, Bromcolex, Bromoson, Bromso, Bromxine, Cohexine, Disol
AmbroxolAmtuss, Mucolid, Mucosolvan, Simusol, Strepsil Chesty Cough
AcetylcysteineAcetin, Flemex-AC, Fluimucil, Mucolid-SF, Nac Long, Mysoven
CarbocysteineAmicof, Carbomed, Carsemex, Elflem, Flemex, Rhinathiol, Siflex

หมายเหตุ – ชื่อการค้าของยาหลายชนิด เป็นยาแก้ไอที่ผสมกับตัวยาแก้ไอกลุ่มอื่น ยาลดน้ำมูกหรือยาแก้แพ้          ยาแก้ไอสำหรับอาการไอแห้ง หรือบางครั้งเรียกยากลุ่มนี้ว่ายากดอาการไอ (Antitussives) ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้กลไกตอบสนองของร่างกายต่ออาการไอเกิดขึ้นน้อยลงและช่วยบรรเทาอาการไอ ยากลุ่มนี้โดยมากใช้สำหรับบรรเทาอาการไอที่เกิดจากการแพ้หรืออาการไออื่นๆ ที่ไม่มีเสมหะ เพราะหากใช้ในอาการไอแบบมีเสมหะ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เสมหะที่เหนียวข้นอยู่แล้วถูกขับออกมาจากทางเดินหายใจได้ยากขึ้น จนเกิดอาการระคายเคืองและทำให้อาการไอรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมได้ รวมทั้งยาบางตัวอาจทำให้เกิดการเสพติด หรือก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงได้ ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ได้แก่
ยาแก้ไอสำหรับอาการไอแห้งตัวอย่างชื่อการค้า
DextromethorphanA-Tussin, Dextroral, Eifcof-G, Icolid, Lohak, Manodextro, Pusiran, Romilar, Stripsils Dry Cough, Throatsil Dex, Terco-D
CodeineCodipront, Codepect, Codesia, Ropect, Terco-C
LevodropropizineBronal, Levopront
ButamirateSinecod

หมายเหตุ – ชื่อการค้าของยาหลายชนิด เป็นยาแก้ไอที่ผสมกับตัวยาแก้ไอกลุ่มอื่น ยาลดน้ำมูกหรือยาแก้แพ้          ในการใช้ยาบรรเทาอาการไอนั้น บางครั้งอาจได้รับยาสูตรที่มีตัวยาแก้ไอหลายชนิดผสมกัน หรือบางครั้งอาจได้รับยาแก้ไอเดี่ยวๆ มากกว่าหนึ่งชนิดพร้อมกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หากเป็นไปได้ควรเลือกชนิดของยาที่สอดคล้องกับลักษณะของอาการไอให้มากที่สุด เพื่อช่วยให้ใช้ยาได้ผลตรงตามประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดจากยาโดยไม่จำเป็น หากจะใช้ยามากกว่าหนึ่งกลุ่มร่วมกัน ควรเลือกยาที่ออกฤทธิ์คนละกลไกกัน เช่น ใช้ยาขับเสมหะร่วมกับยาละลายเสมหะ หรือ ใช้ยากดอาการไอร่วมกับยาละลายเสมหะ ไม่ควรใช้ยากลุ่มเดียวกันซ้ำซ้อนกัน เพราะไม่ทำให้ประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รักษาอาการเป็นหวัดเบื้องต้น ของแต่ละวัยอย่างไรดี

รักษาอาการเป็นหวัดเบื้องต้น ของแต่ละวัย อย่างไรดี คำถามนี้ หลายๆ คนต้องประสบพบเจอกันตลอดเวลา เพราะไม่มีใครไม่เคยเลยที่จะเป็นหวัด การทานยาเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการใช้ยากับเด็กเล็ก หรือทารกมีความสำคัญยิ่งและมีผลกระทบต่อการใช้ยาแต่ละตัวดังนั้น หากไม่เชียวชาญในการใช้ยา ให้ ปรึกษาแพทย์ก่อน วิธีการสังเกตุง่ายๆ เราไปหาหมอตั้งแรก ให้สังเกตุยาที่หมอให้มา แล้วจดบันทึกการทานยาของลูก หรือหลานไว้ สังเกตุอาการถ้าอาการที่ปรากฎให้ยาแล้วดีขึ้น แสดงว่า ยาชนิดนั้น จะรักษาตรงและถูกต้อง การให้ยากับทารกหรือเด็กเล็ก ต้องระมัดอย่างยิ่งเพราะ บางโรคอาการใกล้เคียงกันแต่ มีผลไม่เหมือนกันโดยเฉพาะ อาการตัวร้อนนเด็กหรือทารก มันบ่งชี้อาการได้หลากหลาย การให้ยาลดไข้เป็นการรักษาเบื้องต้น กรณีเป็นหวัด สำหรับการมีน้ำมูก พยายามอย่าใช้ยาลดน้ำมูก ให้ใช้น้ำเกลือล้างจมูกให้ลูก ถ้าผู่้ใหญ่ทำได้ก็ดีมากๆ เพราะจะลดการใช้ยาลงเพื่อให้ภูมิต้้านทานในร่างกายทำงาน 

สำหรับยาเบื้องต้นที่ใช้กันดังนี้ 

สำหรับเด็กเล็กหรือทารก โปรดปรึกษาแพทย์เท่านั้นอย่าซื้อยามาทานเอง
สำหรับเด็กโต 5 ++  ควรมียาประจำบ้านหรือ ทาเลนอล ยาลดไข้ จำเป็นมากและมียา ลดน้ำมูก ดูชนิดที่เหมาะกับอายุและน้ำหนักของเด็ก 

สำหรับวัยผู้ใหญ่ ตั้งแต่ 18++ การทาง พาราเซตามอล หรือยาแก้หวัด ก็มีความสำคัญ เพราะการทำงานของร่างกายจะทำงานควบคู่กับการฆ่าเชื้อโรค วิธีการทานยา สำหรับคนที่เริ่มเป็นใหม่ให้ทาน พาราเซตามอล ชนิดใดก็ได้ หลังอาหาร 1-2 เม็ด แล้วดืมน้ำตามมากๆๆ เพราะจะช่วยการทำงานของร่างกายมากขึ้น หากมีน้ำมูกหรือจาม ให้ทานยาแก้แพ้ หรือยาแก้หวัด ซึ่งอ่านก่อนทานนะครับผม เพราะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้แพ้ยา 

สำหรับคนชรา การใช้ยาจะมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ประสิทธิผลในการรักษาโรคได้จะต้องขึ้นอยู่กับ อายุน้ำหนัก และโรคข้างเคียง ดังนั้นจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยา เบื้องต้นคงจะทาน พาราเซตามอลได้ นอกจากจะเป็นโรคตับ  ดีที่สุดควรปรึกษาแพทย์ครับผม

ยาสมุนไพรที่หลายท่านรู้จักดี คือฟ้าทะลายโจร สรรพคุณค่าเชื้อไวรัสอย่างดี กรณีติดหวัดจากเชื้อไวรัส สักเกตุจากเสพหะใส่ และเจ็บคอ ให้เอา ฟ้าทะลายโจรใบดิบ ขยี้ เล็กน้อย อมไว้โคนลิ้น (จะขมสุดๆๆแต่ต้องอดทน ประมาณ 10-20 นาทีให้ตัวยาไปฆ่าเชื้อ )ป้วนปากด้วยน้ำสะอาด ทานข้าวแล้วทานพารา วิธีนี้ จะช่วยได้แต่ถ้า ไม่ดีขึ้นให้ทาน ยาแก้หวัดร่วมด้วย ดูอาการ 1-2 วัน ถ้าไม่หายให้พบแพทย์ 


การทานยาแต่ละประเภท ต้องอยู่ภายใต้การดูแล ของเภสัชกรปริญญา จะทำให้เราไม่รักษาโรคผิดทาง 

AKE

ยินดีตอนรับสู่ข้อมูล เกี่ยวกับยา และเวชสำอางค์ เพื่อความปลอดภัยในการใช้

เรียนผู้อ่านทุกท่านครับ

เว็บไซต์แห่งนี้ จะนำเสนอเรื่องราวข้อมูลเกี่ยวกับ ยา Medical และเวชสำอางค์ เพื่อประโยชน์ของท่านผู้อ่านทุกท่าน ดังนั้นท่านไหนที่เข้ามาอ่านบทความนี้คงจะได้รับความรู้และเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดโดยอ้างอิงค์ข้อมูลที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจ เปรียบเทียบความเสี่ยงและการทดสอบ และผลกระทบข้างเคียงของการใช้ยา ซึ่งจะจะมีกลุ่อายุของผู้ใช้ยา เป็น เด็กทารก  เด็กเล็ก - เด็กโต วัยรุ่น วัยทำงาน  ผู้สูงอายุ การใช้ยาและเลือกที่จะใช้ยาเพื่อความเหมาะสม ดังนั้น เว็บไซต์แห่งนี้จะเน้นคุณประโยชน์ให้มากที่สุดในการใช้ยา  พยายามจะหาเภสัชกร ปริญญา มาเป็นผู้คอยแนะนำในเรื่องต่างๆ

ขอบคุณที่เสียสละเวลาอ่าน

MedicalThai.blogger.com